สิ่งที่ต้องทำ เมื่อธุรกิจกำลังวิกฤต
มีคำถามนึงที่ถูกถามกันมามากที่สุดว่า
ถ้าวันนี้ธุรกิจอยู่ในสถานะเจียนอยู่เจียนไป
มีหลักการแก้ไขอย่างไรและมีอะไรที่ต้องทำบ้าง
ขอตอบตามหลักการที่ผมใช้เป็นประจำดีกว่านะครับ
เพราะการแก้ไขฟื้นฟูธุรกิจนั้นจริงๆคือไม่สามารถลอกเลียนแบบวิธีการกันได้
เนื่องจากสาเหตุของปัญหาของธุรกิจแต่ละอันนั้นไม่เหมือนกัน
แต่ถ้าทำตามสิ่งที่บอกต่อไปนี้ รับรองว่าแก้ไขได้ในระดับที่น่าพอใจแน่นอน
1. ประเมินสถานะการเงินเป็นอย่างแรกเสมอ
ธุรกิจจะอยู่หรือไป ไม่ได้วัดกันว่าขายได้หรือขายดี
สิ่งที่จะช่วยให้ธุรกิจอยู่รอดหรือไม่คือธุรกิจนั้น "มีเงินสดในมือมากพอ" สำหรับใช้จ่ายในการดำเนินธุรกิจหรือไม่
เรามีธุรกิจมากมายให้เห็นที่ขายดีแต่เก็บเงินไม่ได้ โดนลูกค้าหนี เถ้าแก่เอาเงินกิจการไปใช้เรื่องอื่นจนแทบไม่มีเงินติดบัญชี ฯลฯ
ใครเข้าข่ายลักษณะนี้เตรียมเจ๊งได้เลย
ในการประเมินสถานะทางการเงิน (รวมถึงเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการรับจ่ายเงิน) ดูตามนี้
- เงินสดในบัญชีวันนี้เทียบกับค่าใช้จ่ายรายเดือน
ดูว่าเรามีเงินพอใช้จ่าย ค่าน้ำ-ค่าไฟ เงินเดือนพนักงาน ค่าเช่า ดอกเบี้ย ฯลฯ ได้อีกกี่เดือน
ใครน้อยกว่า 6 เดือนถือว่าแย่มากแล้ว เพราะอย่างน้อยๆควรจะมี 10-12 เดือน
และถ้าใครมีเกิน 12 เดือนถือว่าธุรกิจแข็งแรงดี
เพราะฉะนั้น รีบสำรวจตัวเองตอนนี้ ถ้ามีเงินลดลงในระดับใกล้เคียงกับที่ว่า
คุณต้องเริ่มทำอะไรบางอย่างแล้ว
- ดูลูกหนี้เทียบกับยอดขาย
อย่ามัวตั้งใจขายจนเพลิน ลองหาเวลา หันกลับมาดูตัวเองหน่อย ที่ขายโครมๆอยู่นั่นน่ะ เราขายแล้วเก็บเงินได้ไหม
เห็นมาเยอะละ พวกที่ชอบขายแบบยอมลูกค้าทุกอย่างเพราะกลัวไม่ได้ขาย
ทั้งยอมให้เครดิตวงเงินเยอะๆ และกำหนดชำระยาวๆ สุดท้ายไม่รอดสักราย
สิ่งที่ต้องดูเพิ่มเติมเกี่ยวกับลูกหนี้ คือกำหนดรับชำระหนี้ จำนวนเงินที่จะได้รับ และประวัติการผิดนัดชำระของลูกหนี้
การขายที่ดีที่สุดคือขายเงินสด รองลงมาคือขายเครดิตที่เก็บเงินได้ตรงตามกำหนด
โดยพยายามคุมการขายเครดิตให้อยู่ในระดับไม่เป็น 1 ใน 3 ของยอดขายทั้งหมด อะไรนอกเหนือจากนี้ ไม่ต้องขาย
- ดูจำนวนสต็อกที่เหลือเทียบกับยอดขาย
อันนี้อาจเป็นงานยากสำหรับใครหลายคนเพราะวันๆไม่เคยรู้เลยว่ามีสต็อกอะไรอยู่ในร้านหรือโกดังบ้าง
ยังมียากกว่านั้นอีก step คือพวกมีหลายโกดัง หลายจุดเก็บของ เพราะนับประสาโกดังเดียวก็แย่แล้ว
หลายโกดังจะมั่วได้ขนาดไหน แต่ที่หนักสุดคือพวกธุรกิจที่มีสต็อกเป็นทั้งของขายเป็นชิ้นและสต็อกวัตถุดิบเช่น
ผ้าม้วน ของตกแต่งที่เอามาประกอบร่างเป็นสินค้าสุดท้าย
ระดับสต็อกที่เหมาะสม คือไม่เกิน 6-8 เท่า ของยอดขายต่อเดือน ใครเกินกว่านี้ให้รีบหาทางระบายของออกโดยเร็ว
- ค่าใช้จ่ายหลักที่เกิดขึ้นทุกเดือน
ทำธุรกิจกับการมีค่าใช้จ่ายนั้นเป็นของคู่กัน แต่สิ่งสำคัญที่ต้องอยู่ในความดูแลของเราเสมอคือ
ค่าใช้จ่ายหลักที่เราจ่ายออกไปทุกเดือน เรารู้หรือไม่ว่าที่ควักเงินจ่ายออกไป เราได้อะไรกลับมาบ้าง
เวลาธุรกิจอยู่ในสภาวะที่ต้องตัดค่าใช้จ่าย ให้ดูว่าอะไรคือค่าใช้จ่ายก้อนใหญ่ๆแล้วเข้าไปลดหรือควบคุมตรงนั้นก่อน
อย่ามามัวไล่ประหยัดอะไรหยุมหยิมเล็กๆแบบพวกปิดน้ำปิดไฟ หรือกระดาษปรินท์ เพราะประหยัดพวกนั้นแทบตายก็กู้ธุรกิจไม่ได้
แถมลูกน้องเค้าจะเอาเราไปนินทาอีกด้วยว่า เรื่องใหญ่ๆไม่ทำ
ค่าใช้จ่ายใหญ่ๆที่น่ากลัวที่สุดในความรู้สึกของผม คือค่าซ่อมบำรุง โดยเฉพาะธุรกิจที่มีทรัพย์สินจำนวนมาก
และต้องการการดูแลรักษาตลอดเวลา ธุรกิจใครเข้าข่ายลักษณะนี้ ขอให้สอดส่องดูแลค่าซ่อมให้ดีๆ เพราะระบบต่างๆมันเอื้อให้เกิดการทุจริตได้ง่าย
แต่สำหรับเรื่องเงินเดือนและสวัสดิการของพนักงาน ส่วตัวผมไม่เคยมองเป็นค่าใช้จ่ายนะ เพราะผมถือว่าพนักงานคืนทรัพย์สินที่มีค่าที่สุดของบริษัท
พวกเค้าไม่ใช่ภาระ ถ้าเราดูแลเค้าดี เราจะได้ทั้งใจและผลงานที่ดีเยี่ยมจากพวกเค้าเหล่านั้นโดยที่เราแทบไม่ต้องตามเฝ้า
2. วิเคราะห์ประวัติซื้อลูกค้า
ลูกค้าเก่า 2 ประเภท ที่ต้องรีบเข้าไปหา
ขาใหญ่ กับ ขาสด
ขาใหญ่คือพวกซื้อเยอะๆ คนไหนเคยซื้อแล้วหายหน้าไป รีบไปเรียกกลับมาให้ได้ ให้ส่วนลดบ้านแถมบ้าง
หรือขายสต็อกในบ้านออกไปแบบเท่าทุนได้ก็ต้องยอม
ขาสด คือพวกยอมซื้อเงินสดเมื่อได้ราคาดี
ลูกค้า 2 คนนี้คือคนที่จะช่วยให้เราหายใจต่อได้ ให้ทำแผนและสัญญาซื่อขายระยะยาว อย่าให้หลุดมือไปได้
3. ทำการตลาด
ธุรกิจจะอยู่จะไปอยู่รอมร่อ ถ้าไม่ทำการตลาดกู้ชีพตัวเองตอนนี้แล้วจะไปทำตอนไหน
ช่วงเวลาที่ธุรกิจกำลังแย่ ไม่ใช่ช่วงเวลาจะมางก ทำอะไรบางอย่างยังมีโอกาสได้อะไรกลับมา
แต่ถ้าไม่ทำอะไรเลย มีแต่รอวันตายสถานเดียว
ถ้าจะถามว่าจะให้เอาเงินจากไหนมาทำ
คำตอบคือให้เอาเงินกำไรที่ได้ไปก่อนหน้านี้มาใช้ ถึงเวลาเอากำไรสะสมที่เคยได้กลับมาลงทุนต่อเพื่อธุรกิจ
ได้มาเท่าไหร่แล้วก็เอาออกมาใช้บ้างบางส่วน ทำให้เต็มที่ด้วยจำนวนเงินเท่านี้ ไม่มีควักเพิ่ม ทำแล้วดีขึ้นก็เดินหน้าต่อ
ทำแล้วไม่เห็นผลค่อยเลิก
ธุรกิจที่มีพื้นฐานอยู่แล้ว ทำการตลาดยังไงก็ง่ายและใช้เงินน้อยกว่าธุรกิจหน้าใหม่
- ออกสินค้าใหม่บ้างเพื่อไว้เป็นตัวทำการตลาด ไม่มีธุรกิจใกล้ตายอันไหนจะขายมากขึ้นโดยการขายแต่สินค้าแบบเดิมๆ
ซึ่งแนวทางการออกสินค้าใหม่นั้นมีมากมายไปหมด เช่น ออก figthing brand ของตัวเองมาเพื่อไปแวะคู่แข่ง
ทำ partner กับแบรนด์อื่นๆ ออกหาไอเดียใหม่ๆตามงานแฟร์
เจ้าของก็ต้องเริ่มเอาตัวเองออกสู่โลกภายนอกเพื่อแนะนำธุรกิจ โอกาสอยู่นอกบ้านมากว่าในบ้านเสมอ
- ขยายสู่ช่องทางการขายใหม่ ใครไม่เคยลองออนไลน์ ให้ลองทำดู ไม่ยากแต่ก็ไม่ง่าย
ทำแล้วต้องตั้งใจ เพราะผลที่ได้มันคุ้มจริงๆกับตลาดที่มีมูลค่าไร้ขีดจำกัด
ถ้าตั้งใจทำตามนี้จริง
รอดทุกรายครับ